วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การรำ กระบี่ (劍)

รายชื่อที่ ๑   กระบี่ ()
             บรรดาศาตราวุธทั้งปวง มีอาวุธเรียวยาววาววับเล่มหนึ่ง ศาสตราวุธที่ถูกกล่าวขานหลายยุคหลายสมัยว่า ‘ราชาแห่งอาวุธสั้น  (短兵之王)’  นั่นคือ กระบี่
             ร่ำลือว่า กระบี่เป็นบรรพชนอาวุธของนักรบ และชาวยุทธจักรทั้งหลายในแผ่นดินจงหยวน   สมัยบุรพกาล กระบี่เป็นเพียงเครื่องป้องกันตัวฉุกเฉินเท่านั้น ต่อมาสมัยราชวงศ์ซางได้สร้างกระบี่ที่ตีจากสำริด รูปลักษณ์กระบี่เวลานั้นตัวคมกระบี่กว้าง และสั้น กล่าวได้ว่า สรีระกระบี่สมัยนั้นอ้วน เตี้ยกว่ากระบี่ปัจจุบัน กระบี่ยุคแรกๆยาวประมาณ 20-40 ซม. ต่อมาจึงค่อยๆเพิ่มความยาวขึ้น จนกระทั่งยาวเกิน 1 เมตร เช่นตอนนี้
             หลังสมัยซีโจวอันเป็นห้วงเวลาแห่งการศึกสงคราม กลียุคยาวนานหลายร้อยปีจนแทบไร้วันจบสิ้น หมู่มนุษย์ดับสูญ กระบี่กลับรุ่งโรจน์ เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญของทัพทหารราบ   การสร้างศาสตราวุธนี้ก็ปรับปรุงพัฒนา ตีให้ตัวกระบี่ยาวขึ้น ปลายกระบี่คมกริบ   ยิ่งในยุคจั้นกว๋อ การรบด้วยรถม้าศึกเริ่มโรยรา แต่กองทหารราบเฟื่องฟู กระบี่ยิ่งถูกพัฒนา เมื่อเป็นอาวุธสำคัญในสงคราม  วิชากระบี่ก็ได้รับการหล่อหลอมความรู้จนรุดหน้าควบคู่กับกระบี่ที่คุณภาพยก ระดับไปอีกขั้นหนึ่ง
             จวบจนรัชสมัยฮั่นอู่ตี้ กระบี่มีความยาวเกิน 1 ม. นับว่ายาวมากกว่าเดิมเกือบ 1 เท่า แต่เดิมคมกระบี่ และปลายกระบี่ค่อนข้างโค้งก็ถูกตีให้เหยียดตรง ปลายกระบี่ก็สร้างให้เรียว แคบ และคมกริบ
             หลังสมัยราชวงศ์ตงฮั่น ทหารม้าเป็นกำลังสำคัญในการศึก ดาบจึงค่อยๆเข้ามาแทนที่กระบี่ ในที่สุดนับแต่สมัยราชวงศ์ถังก็ไม่ปรากฏการใช้กระบี่เป็นอาวุธในขบวนศึก หรือกองทหารระดับล่างอีกเลย
            กระบี่ยุคแรกๆสมัยโบราณนั้น  แต่ละเล่มจะตีขึ้นสำริดที่มีดีบุกผสมอยู่เยอะเพื่อหลอมเป็นส่วนคม และใช้สำริดที่มีดีบุกผสมอยู่น้อยกว่าสำริดแบบแรก มาหลอมเป็นส่วนสันกระบี่
             เนื่องจากปริมาณดีบุกที่ผสมอยู่ในสำริด ยิ่งมีมาก ยิ่งทำให้เนื้อสำริดแข็งแกร่ง ทนทาน ขณะที่สำริดซึ่งดีบุกผสมอยู่น้อยกว่าจะนิ่มกว่า และแข็งแกร่งน้อยกว่า          
             โดยทั่วไป ส่วนคมและสันกระบี่จะหล่อจาก โลหะผสม สำริด โดยมี ดีบุกเป็นส่วนผสม 20และ 10%   จุดประสงค์เพื่อสร้างส่วนคมที่แข็งแกร่งคมกริบ ใช้ฟันแทงได้ดี และมีสันกระบี่ที่ยืดหยุ่นดูดซับแรงกระแทกได้ และใช้ป้องกันการแตกหักด้วย 


ภาพที่ 4-2 (1)   ภาพแสดงสำริดที่ใช้หล่อกระบี่[1] 

             กระบวนการสร้างกระบี่สำริดมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
             เริ่มแรก จะสร้างแม่พิมพ์ที่เป็นร่องรูปสันกระบี่ จากนั้นจะนำสำริดที่ถูกหลอม (สำริดที่มีดีบุกผสมอยู่ 10%) เทลงไปในแม่พิมพ์ แล้วทำให้เย็น
             หลังจากนั้น ส่วนสันกระบี่ที่ถูกหล่อเสร็จแล้วนั้น จะถูกย้ายออกจากแม่พิมพ์เดิมไปวางไว้ในแม่พิมพ์ใหม่ที่เป็นร่อง มีรูปร่างเป็นเส้นตามแนวขอบทั้ง 2 ข้างของสันกระบี่ ตั้งแต่ปลายยันโกร่งกระบี่
ช่างตีกระบี่จะใช้สำริดที่มีดีบุกผสมอยู่ 20 % เทลงไปในแม่พิมพ์ จากนั้นตีให้เป็นรูปคม ทั้ง 2ข้าง แล้วทำให้เย็นลง สำริดชนิดใหม่ที่ถูกหล่อขึ้นจะหลอมรวมกับสันกระบี่เป็นเนื้อเดียวกัน จบขั้นตอนนี้ การตีกระบี่ ถือว่า เสร็จสมบูรณ์


ภาพที่ 4-2 (2)   กระบี่สำริดแบบต่างๆ[2]

           
 

ภาพที่ 4-2 (3)   เปรียบเทียบกระบี่โบราณ (บน) และกระบี่ยุคหลัง (ล่าง)[3] 

             แม้ตกอับจากการสงคราม แต่กระบี่ไม่ดับสิ้นเฉกเช่นศาสตราวุธอื่นที่หมดบทบาทในการศึก   วิชากระบี่ยังคงถ่ายทอดกันตามเมือง หมู่บ้าน หรือดินแดนต่างๆในจงหยวน ศาสตราวุธนี้ฟื้นคืน และเรืองโรจน์เจิดจ้ากลบรัศมีอาวุธอื่นๆทั้งสิ้นในแวดวงยุทธจักร
             ความรุ่งเรืองของกระบี่เห็นได้ทุกยุคทุกสมัย   ช่วงสมัยราชวงศ์ซ่งมีการแสดงรำกระบี่ตามหัวเมืองต่างๆ  สมัยราชวงศ์หมิงมีบันทึกเกี่ยวกับกระบี่กล่าวถึงกระบวนท่าต่างๆ มีภาพประกอบ และคำอธิบาย สมัยราชวงศ์ชิงมีหนังสือของซ่งจื่อฟ่ง (宋仔鳳) หลังจากแพร่หลายออกไป กระบี่ก็ถูกจัดเข้าทำเนียบศาสตราวุธ เป็นอาวุธที่ชาววงยุทธจักรต่างชื่นชอบ และมีการประลองยุทธ์กันมากที่สุด
             ทำไมกระบี่จึงถูกขับออกจากการทหาร แต่กลับได้รับการยกย่องในหมู่ชาวยุทธจักร?   เป็นเพราะวิชากระบี่ลึกซึ้งเกินไป มีคำกล่าวว่า “ฝึกดาบ 1 ปี ฝึกกระบี่ 10 ปี” ผู้เยี่ยมในกระบี่จึงมีแต่ชนชั้นยอดฝีมือเท่านั้น ยากที่เหล่าทหารร้อยพ่อพันแม่จะใช้กระบี่ได้ดีเลิศเหมือนกันหมด ทั้งกว่าจะใช้ได้คล่องแคล่วก็หมดเวลาหลายปี   ดาบที่วิธีใช้กระบวนท่าเป็นการเคลื่อนไหวพื้นฐาน เข้าใจง่ายกว่ากระบี่ การฝึกให้ใช้ดาบเป็นก็เสียเวลาน้อยกว่า เมื่อคำนวณด้านความเหมาะสมแล้ว ดาบจึงถูกเลือกแทนกระบี่
             มีเรื่องน่าสนใจว่า บุคลิกกระบี่ถูกวาดเอาไว้ก็คือ อาวุธท่วงท่าสุขุม นิ่มนวล แต่สยบคู่ต่อสู้ให้อยู่ใต้คมได้   กระบี่นี้ ชาวจีนนำไปเปรียบกับบัณฑิตสุภาพที่เพียงออกมือก็เอาชัยปรปักษ์ได้เยี่ยงนัก รบชั้นยอด หรือเป็นดั่งนักรบหาญกล้าที่สัประยุทธ์ด้วยท่วงทีคัมภีรภาพเฉกเช่นบัณฑิต ผู้ทรงภูมิ   กระบี่มีลักษณะ 2 แบบอย่างที่ชาวจีนชื่นชมดำรงอยู่ในตัวของมันเอง ฉะนั้นฐานะของกระบี่จึงถูกยกอยู่เหนืออาวุธอื่นๆ
             อำนาจ ภูมิปัญญา ยศถา ผู้อยู่เหนือโลก   กระบี่เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งเหล่านี้ ขุนนางระดับสูงมีกระบี่แสดงถึงบรรดาศักดิ์ แม่ทัพชูกระบี่บัญชาการ เหล่ากวีพกกระบี่ร่ายกลอน นักพรตเต๋าใช้กระบี่ประกอบพิธี   ว่าไปแล้ว กระบี่ถือเป็นตัวแทนจิตวิญญาณของชาวแผ่นดินมังกร เฉกเช่นดาบเป็นจิตวิญญาณของชาวอาทิตย์อุทัย
             มีคำกล่าวว่า กระบี่คือราชาแห่งอาวุธสั้น คำพูดนี้ไม่ได้โอ่เกินจริง มีดังคำกล่าวหนึ่งในวงยุทธจักรว่า “พลองกลัวดาบ ดาบกลัวกระบี่” คำกล่าวนี้รับรู้ได้ว่า วิชากระบี่สูงส่งเพียงใด ดังนั้นในตำรามากมายจึงมีคำยกย่องว่า “กระบี่เป็นจ้าวแห่งศาสตราวุธทั้งปวง

ก่อนถกวิชากระบี่ ควรรู้จักโครงสร้างกระบี่เสียก่อน
             โครงสร้างกระบี่จำแนกเป็น 2 ส่วนสำคัญคือ ส่วนตัวกระบี่ (劍身 ) และส่วนด้ามจับ (劍把) ตั้งแต่ด้ามจับ จนถึงปลายกระบี่ยาวเป็นเส้นตรงเดียวกัน
              
ภาพที่ 4-2 (4)   โครงสร้างส่วนต่างๆของกระบี่ 
 
             ส่วนตัวกระบี่ (劍身)  จะแคบยาว เรียว มีคมทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า คมกระบี่ (劍刃)   ตัวกระบี่แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ ช่วงโคนกระบี่ ช่วงกลางกระบี่ และช่วงปลายกระบี่   ช่วงปลายกระบี่ ณ จุดปลายสุดของกระบี่เรียกว่าปลายยอดกระบี่ (劍尖)   ช่วงปลายกระบี่จะคมกริบกว่า แบนบางกว่า และแคบกว่าช่วงกลางกระบี่ และช่วงโคนกระบี่   โครงที่เป็นสันนูนตรงกลางตัวกระบี่เรียกว่า สันกระบี่ (劍背)
             ส่วนด้ามจับ (劍把)  ระหว่างตัวกระบี่ กับด้ามกระบี่มีส่วนที่มีรูปร่างกลมรี แบนกั้นอยู่เรียกว่า โกร่งกระบี่ (劍格)   ปลายโกร่งกระบี่ทั้ง 2 ข้าง บางเล่มบานออก หันไปทางตัวกระบี่   ส่วนที่ใช้มือจับเรียกว่า ด้ามกระบี่ (劍柄     ส่วนท้ายด้ามมีหัวที่ทำจากโลหะเรียกว่า หัวกระบี่ หรือหัวด้าม (劍首、 劍鐔) ปลายหัวกระบี่นั้นจะผูกพู่กระบี่ (劍袍เอาไว้
             ประโยชน์ของพู่กระบี่นั้นต่างจากพู่หางม้าของอาวุธยาวอย่าง ทวน จี่ หรือง้าว   พู่กระบี่นั้นมีไว้เพื่อใช้ดูฝีมือ หรือความถูกต้องของกระบวนท่าเวลาฝึก   การเคลื่อนไหวกระบี่ที่ถูกต้อง พู่จะไม่พันเกะกะข้อมือ ปกติแล้วพู่จะตวัดในทิศทางตรงข้ามกับตัวกระบี่เสมอ    หากฝึกกระบี่แล้วพู่ยังพันเกะกะข้อมือ แสดงว่า ยังส่งแรง หรือมีจังหวะการเคลื่อนไหวผิด ต้องฝึกแก้กระบวนท่านั้นต่อไป
              กระบี่แต่ละเล่มอาจมีรูปลักษณ์ผิดแผกจากกัน แต่ทุกเล่มล้วนมีโครงสร้างดังกล่าวมาเหมือนกัน เช่นนั้นแล้วกระบี่ดีเป็นเยี่ยงไร?  คือ เบา และพลิ้วนั่นเอง
             ต้องเบาเพราะวิชากระบี่มีการเคลื่อนไหวพลิกแพลง หากกระบี่หนักย่อมอืดอาด   ต้องพลิ้วเพราะ ท่วงท่าของกระบี่ใช้แรงข้อมือจากเส้นเอ็น แรงที่ส่งไปยังปลายกระบี่เป็นแรงสะบัด คล้ายท่าตวัดแส้   เหล็กที่ตีขึ้นเป็นกระบี่จึงต้องเหนียว ยืดหยุ่น เหตุมาจากแรงสะบัดต้องแล่นไปถึงปลายกระบี่ได้   กระบี่พลิ้วหรือไม่ ดูได้จากช่วงปลายกระบี่สั่นระริกยามสะบัดมือแทง หรือเฉือนตัด ผิดกับดาบที่ใช้แรงจากแขนมากกว่า แรงที่ใช้จึงเป็นแรงเหวี่ยง
 
ภาพที่ 4-2 (5)   ภาพแสดงตัวกระบี่ที่มีความอ่อนพลิ้ว

             ถึงกระนั้น รูปลักษณ์กระบี่จะสอดคล้องกับวิชาแต่ละสำนัก กระบี่ของวิชามวยภายนอกที่เน้นแรงกล้ามเนื้อเป็นหลัก เช่น สำนักเส้าหลิน (少林)  ปลายกระบี่จะหนัก และหนากว่ากระบี่ของสำนักมวยภายในที่ใช้พลังภายในเป็นหลัก เนื่องจากน้ำหนักจะทำให้การโจมตีมีพลังทำลายรุนแรงขึ้นตามหลักฟิสิกซ์
             กระบี่ของสำนักมวยภายใน เช่น สำนักบู๊ตึ๊ง (武當)  จะเบาโปร่ง พลิ้ว สมดุลย์ตามหลักมาตราฐาน ใช้พลังภายในเป็นแรงผลักดันการเคลื่อนไหว กระบี่ที่มีน้ำหนักมากกลับเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของมวยที่ไม่ใช้กล้าม เนื้อแบบนี้   กระบี่ต้องเบา ท่วงท่าจึงคล่องแคล่ว ส่วนจะรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับพลังภายในของผู้ใช้
             อีกสาเหตุคือ หลักวิชามวยภายนอกเน้นการใช้แรงปะทะแรง แรงมากชนะแรงน้อย เนื้อโลหะจึงค่อนข้างหนา ทำให้มีน้ำหนักมากกว่ากระบี่ที่ใช้หลักวิชามวยภายในอันมีหลักเลี่ยงแรง หลบการปะทะ กระบี่จึงต้องเบาเพื่อให้ทั้งมือทั้งร่างคล่องแคล่วติดตามการเคลื่อนไหวคู่ ต่อสู้ได้ทัน
             นอกจากนี้ยังมีกระบี่ที่ใช้กันของวิชามวยเหนือ และมวยใต้ก็มีความยาวต่างกัน มวยเหนือมีระยะการต่อสู้ค่อนข้างห่าง กระบี่จึงต้องยาว   ส่วนมวยใต้ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด กระบี่จึงสั้นกว่าเพราะสอดคล้องกับหลักเพลงอาวุธ
             กระบี่ใดเหมาะสมกับผู้ใช้คงมีวิธีเลือกหลายแบบ แต่เท่าที่ได้ศึกษาแล้วทราบมามี 2 วิธีคือ
             วิธีที่ 1 ดูจากนิ้วของผู้ใช้เอง   นิ้วชี้ประกบติดนิ้วกลาง นิ้วโป้ง นิ้วนาง และนิ้วก้อยงอรวบกัน   กระบี่ที่เหมาะกับเจ้าของ ช่วงโคนกระบี่จะเสมอเท่ากับความกว้างที่นิ้วชี้ประกบติดกับนิ้วกลาง
             วิธีที่ 2 ดูจากใบหู   มือวางข้างลำตัวกุมกระบี่ ด้ามจับชี้ลง ปลายกระบี่ชี้ขึ้น   หากปลายเสมอกับติ่งหู ถือว่าเป็นกระบี่ที่ยาวได้พอเหมาะกับตัวผู้ใช้
                    
ภาพที่ 4-2 (6)   วิธีการเลือกกระบี่
จากนี้ถึงเวลาถกวิชากระบี่ที่กล่าวติดค้างไว้นานเสียที
             ศาสตร์แห่งกระบี่ก่อกำเนิดมานานหลายพันปี ร่ำเรียนคิดค้นรุดหนาต่อเนื่องกันมาทุกยุคสมัย จากสู้รบเอาชีวิตในสมรภูมิบ้าง จากวิชาถ่ายทอดสืบรุ่นในสำนักบ้าง จากที่ได้เปิดหูเปิดตาแลกเปลี่ยนวิชาต่างสำนักกันบ้าง วิชากระบี่แต่ละสำนักแต่ละดินแดนจึงมีจุดโดดเด่นต่างกันไป
             สมัยราชวงศ์ซ่งน่าจะเป็นยุคเฟื่องฟูของวิทยายุทธ์ เนื่องจากมีศึกสงครามปะทุขึ้นไม่ขาดสาย สำนักมวยต่างๆผุดขึ้นราวดอกเห็ด มีการประลองยุทธ์กันดาษดื่น เพลงกระบี่ได้รับพัฒนาอย่างรวดเร็วในสมัยนี้เช่นกัน
กระทั่งในหมู่นักกวี ตู้ฝู่[4] (杜甫)มหากวีแห่งราชวงศ์ถัง  ก็เคยแต่งถึงกระบี่ ในกลอนที่ชื่อ กงซุนต้าเหนียงร่ายกระบี่ 
             แม้ว่าเพลงกระบี่แต่ละสำนักจะมีเคล็ดวิชาผิดแผกกันแปลกแยกจากกัน ถึงกระนั้นรากฐานวิชากระบี่ไม่ว่าสำนักใดก็มีที่ละม้ายกัน
             ก่อนเรียนกระบี่ต้องรู้จักจับกระีบี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่อาจดูเบาได้  หากไม่อาจกุมกระบี่ได้ถูกต้องก็ไม่อาจใช้เคล็ดวิชากระบี่อันสมบูรณ์ได้ จึงไม่ใช่เรื่องควรมองข้าม
             ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น การจับกระบี่จึงค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นจากศาสตราวุธอื่น ผู้ ฝึกกระบี่ต้องมีข้อมือ และนิ้วมือที่แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นอย่างยอดเยี่ยม เพราะในท่ากระบี่จะต้องใช้ข้อมือควบคุมกระบี่ได้ทุกทิศทาง หากไร้กำลังข้อมือที่ดีเลิศแล้วย่อมทำไม่ได้
             การจับกระบี่ของจีนมีหลักสำคัญอยู่ที่กระบี่ที่อยู่ในมือไม่จำเป็นต้องกำให้ แน่น เพียงกุมให้กระชับกับมือก็พอ เพราะหากกำกระบี่แน่น กล้ามเนื้อต้องเกร็ง เอ็นก็จะไม่ยืดหยุ่น เช่นนั้นแล้ว หลักสำคัญที่ว่า ใช้กระบี่ต้องพลิ้วไหว จะอยู่ที่ไหน


ภาพที่ 4-2 (7)   การจับกระบี่ของจีน 

             มือที่กุมกระบี่ นิ้วทั้ง 5 ต้องผ่อนคลายตื่นตัว หลายตำราวิทยายุทธ์จะกล่าวไว้ว่า ในการกุมกระบี่ นิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนางงอข้อนิ้วรวบด้ามกระบี่ กุมให้กระชับมือ ส่วนนิ้วชี้ และนิ้วก้อยปล่อยผ่อนคลาย ไม่ต้องสัมผัสกระบี่ให้หนักแรงมากนัก
             เหตุที่นิ้วชี้ และนิ้วก้อยไม่ต้องออกแรงกุมกระบี่มากอย่างนิ้วอื่นๆนั้น เพราะนิ้วทั้ง 2 นี้ต้องทำหน้าที่อื่น ซึ่งต่างจากนิ้วที่เหลือ  ทั้งนิ้วชี้ และนิ้วก้อยต้องคอยควบคุมทิศทางของกระบี่นั่นเอง ท่วงท่ากระบี่แต่ละจังหวะการเคลื่อนไหวแปรผันตลอดเวลา บัดเดี๋ยวกระดกขึ้น บัดเดี๋ยวตวัดลง แทงออกบ้าง รั้งกลับบ้าง  มือกระบี่ต้องควบคุมกระบี่ให้ทันการเคลื่อนไหวของร่างกาย
             แรงที่ส่งจากร่างผู้ใช้ เมื่อผ่านถึงมือ นิ้วชี้และนิ้วก้อยต้องควบคุมกระบี่ให้ไปตามทิศทางแรง นิ้วชี้จะอยู่ด้านล่างคอยจับกระบี่ให้นิ่งร่วมกับนิ้วโป้ง เหมือนคีมหนีบกระบี่ไว้ นิ้วชี้จะคอยคุมทิศทางด้านหน้าตรงช่วงโกร่งกระบี่  ส่วนนิ้วก้อยคอยคุมทิศทางด้านหลังตรงช่วงหัวด้ามกระบี่ ทำให้น้ำหนักกระบี่สมดุลย์ น้ำหนักไม่ทิ้งไปข้างหน้า หรือข้างหลัง  โดยที่มีนิ้วที่เหลือเป็นเสมือนฐานที่รองรับแรงให้ส่งผ่านไปอย่างมั่นคง
             จากนี้จะกล่าวถึง เคล็ดวิชากระบี่ที่สำคัญมีดังนี้
             1. ไต่ หรือพาดเฉือน () : จับกระบี่ตั้ง หรือนอนก็ได้ รั้งกระบี่กลับจากด้านหน้าทาด้านซ้าย หรือขวา ท่านี้ใช้ช่วงโคนกระบี่ หรือช่วงกลางกระบี่เฉือน

ภาพที่ 4-2 (8)   ท่าพาดเฉือน

             2. แทง () : ปลายกระบี่เป็นส่วนสำคัญที่ใช้แทง ท่าแทงมีหลายแบบทั้งแทงบน แทงล่าง แทงสองมือ แทงต่ำ
                     2.1 การจับกระบี่แทงที่สำคัญมี 2 แบบคือ
              1) แทงกระบี่ตั้ง (立刺) : ปลายกระบี่ยื่นออก คมกระบี่หันบน และล่าง

ภาพที่ 4-2 (9)   ท่าแทงกระบี่ตั้ง 

       2) แทงกระบี่นอน (平刺) : ปลายกระบี่ยื่นออก คมกระบี่หันซ้าย และขวา
 
ภาพที่ 4-2 (10)   ท่าแทงกระบี่นอน
                     2.2 ท่าแทงพื้นฐานมี 4 ท่าคือ
     1) แทงบน (上刺) : ยื่นกระบี่แทงออกด้านบน ปลายกระบี่อยู่ระดับเสมอศีรษะ
     2) แทงตรง (前刺) : ยื่นกระบี่แทงออกด้านหน้า ระดับลำตัว
     3) แทงล่าง (下刺: ยื่นกระบี่แทงออกด้ายล่าง ปลายกระบี่อยู่ระดับเสมอหัวเข่า
     4) แทงต่ำ (低刺) : ยื่นกระบี่แทงออกลงด้านล่าง ปลายกระบี่เกือบติดพื้น มองให้ง่าย
คือ ท่าแทงข้อเท้า หรือเท้านั่นเอง
             
            
         
ภาพที่ 4-2 (11)   ท่าแทงแบบต่างๆ 
1.ท่าแทงบน (บนซ้าย)   2. ท่าแทงตรง (บนขวา)   3.ท่าแทงล่าง (ล่างซ้าย)   4.ท่าแทงต่ำ (ล่างขวา) 

             3. หมุนวน () : จับกระบี่นอน หมุนปลายกระบี่วนเป็นวงเล็กๆ แกนวงเป็นแนวตั้งออกไปข้างหน้า ใช้ข้อมือเป็นจุดหมุน ท่านี้ใช้เปลี่ยนทิศทาง หรือเบี่ยงอาวุธคู่ต่อสู้ให้เบนออกจากเป้า ท่านี้ใช้ปลายกระบี่จู่โจม

ภาพที่ 5-2 (12)   ท่าหมุนวน


             4. เตี้ยน หรือตวัดลง () : จับกระบี่ตั้ง ใช้ข้อมือตวัดปลายกระบี่ลงด้านล่าง ตวัดข้อมือเหมือนเหวี่ยงเบ็ด ท่านี้ใช้ปลายกระบี่จู่โจม
             5. เปิง หรือกระดกขึ้น () : จับกระบี่ตั้ง ใช้ข้อมือกระดกปลายกระบี่ขึ้น ท่านี้ใช้ปลายกระบี่จู่โจม
              
ภาพที่ 5-2 (13)   ท่าตวัดลง (ซ้าย) และท่ากระดกขึ้น (ขวา)
             6. สี หรือรูดตาม ( ) : ท่านี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกระบี่ที่อาวุธอื่นทำไม่ได้ ใช้กระบี่ของตนแนบติดเลื่อนตามการเคลื่อนไหวของอาวุธศัตรู ขณะที่เลื่อนตาม ตัวกระบี่ก็ค่อยๆรูดเข้าหาอาวุธศัตรูเริ่มจากปลายกระบี่จนสุดโคนกระบี่    นั่นก็คือ จุดที่กระบี่เราสัมผัสกับอาวุธฝ่ายตรงข้ามจะเลื่อนไปเรื่อยๆ   ยามที่เราเคลื่อนไหวคล้อยตามแรงคู่ต่อสู้ เมื่อสุดระยะแรงฝ่ายตรงข้าม ก็จะโจมตีสวนกลับได้ทันที   ท่านี้เป็นเคล็ดสำคัญของกระบี่ที่ทำให้ต้านรับ และโต้กลับได้ในจังหวะเดียว ไม่ต้องเสียจังหวะรับก่อนค่อยตีกลับเช่นอาวุธอื่น   บรรดาเพลงกระบี่มากมายหลายสำนัก วิชาสายมวยภายในจะเชี่ยวชาญเคล็ดท่านี้เป็นพิเศษ อีกทั้งยังมองไม่ออกจากท่วงท่าภายนอกเสียด้วย
                
ภาพที่ 4-2 (14)   ท่ารูดตาม รูปฝั่งซ้ายคือ ภาพขยายการเลื่อนของกระบี่
รูปฝั่งขวาคือ ภาพการขยับเคลื่อนย้ายมือเกาะติดตามกระบี่
             นอกจากนี้ช่วงโคนกระบี่ และช่วงกลางกระบี่ยังใช้ปัดกันอาวุธฝ่ายตรงข้าม  หรือเฉือนตัดได้   โกร่งกระบี่ที่มีรูปร่างคล้ายช่อดอกไม้บานก็ใช้เกี่ยวหนีบตรึงอาวุธคู่ต่อสู้ได้  ยิ่งใช้เคล็ด ‘รูดตาม’ ยิ่งเกี่ยวหนีบอาวุธได้ง่าย   จุดนี้เองที่ต่างจากโกร่งดาบซึ่งรูปร่างกลมแบน เน้นใช้ครูดไถลดัน () อาวุธออกมากกว่าใช้เกี่ยวหนีบอาวุธ
        


ภาพที่ 4-2 (15)   การใช้ช่วงกลาง หรือโคนกระบี่ ใช้สกัดกัน (ซ้ายบน) ใช้ปาดเฉือน (ซ้ายล่าง)
และการใช้โกร่งกระบี่เกี่ยวหนีบอาวุธฝ่ายตรงข้าม
                         
             กระบี่มีหนึ่งปลาย สองคมจึงมีเคล็ดวิชากระบี่พลิกแพลงสลับซับซ้อน ไม่ว่าเคลื่อนไหวเช่นไรก็จู่โจมได้ ทุกส่วนของกระบี่ใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ทั้งสิ้น ลักษณะอีกประการหนึ่งของการใช้กระบี่คือ ใช้กระบี่ต้องใช้ข้อมือเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่มีการเงื้อเช่น ดาบ กระบี่เน้นท่าแทง และเฉือนเป็นสำคัญ ความเปลี่ยนแปรมาจากเท้าสองข้างย่างก้าว ร่างยักย้ายคล้องคล้อยตามตำแหน่งก้าวเดิน ตัวเคลื่อน กระบี่ก็เคลื่อน นี่คือหลักพื้นฐานของกระบี่

ภาพที่ 4-2 (16)   ตัวอย่างการใช้กระบี่ที่มีหนึ่งปลาย สองคม ไม่มีการเงื้อมือ

             ยอดฝีมือเชิงกระบี่ย่อมมีเท้าที่คล่องแคล่วคู่หนึ่ง ลำตัวที่พลิ้วไหวดั่งสน ดวงตาที่เฉียบคมดุจเหยี่ยว และข้อมือที่ยืดหยุ่น ฉับไวเหมือนงูฉก   ชาววงยุทธจักรมีคำกล่าวว่า “กระบี่ดั่งหงส์เหิร” หมายความว่า ท่าร่างกระบวนเพลงกระบี่สง่างาม สูงส่งเหมือนหงส์กำลังโบยบิน   นอกจากนี้ มือกระบี่ชั้นยอด ท่วงท่าต้องหมดจด เพียงออกกระบี่ก็สามารถหลบปัดอาวุธ แล้วเผด็จศึกได้ในการเคลื่อนไหวจังหวะเดียวกันนี้ ด้วยท่าแทง หรือเฉือน
 
ภาพที่ 4-2 (17)   สาธิตการใช้กระบี่ที่สำคัญ
จังหวะแรก ใช้เคล็ด ‘สกัด’ ยกกระบี่ ใช้ช่วงกลางกระบี่ออกกันดาบ
จังหวะที่ 2 ใช้เคล็ด ‘หมุนวน’ เบนทิศทางดาบจนฝ่ายตรงข้ามเกิดช่องโหว่
เคล็ดท่านี้ยังเป็นการเตรียมโจมตีไปในตัวด้วย   จังหวะสุดท้าย ใช้เคล็ด ‘แทง’ จู่โจมใส่คอคู่ต่อสู้

             ความหมดจดของศาสตร์แห่งกระบี่มิได้หมายเพียงเป็นกระบวนท่าที่ใช้ออก หรือท่าร่างจู่โจมไม่ขาดไม่เกินไปกว่านั้น ไม่เคลื่อนไหวพร่ำเพรื่อ   ทว่ายังมุ่งมาดถึงแรงที่ใช้สยบคู่ต่อสู้ กำลังที่ต้องเสียไปจนโค่นปรปักษ์พ่ายแพ้ได้นั้นพอเหมาะพอเจาะพอดี มากกว่านี้ก็เปลืองแรงเปล่า น้อยกว่านี้ก็หาอาจเอาชัยศัตรูได้ นี่คือ ความหมดจดที่น้อยคนนักจะบรรลุถึง   จากภาพข้างบนจะเห็นว่าท่ากระบี่ไม่ได้เคลื่อนไหวฟุ่มเฟือยเลย แต่ละจังหวะล้วนขยับแต่เพียงไม่มาก รัดกุม มีจะมีโคน และพอดิบพอดี
             ประวัติศาสตร์จีนที่ผ่านมา จอมยุทธ์ผู้มีเกียรติภูมิด้านกระบี่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์สำนักบู๊ตึ๊ง เนื่องจากสำนักนี้แตกฉานวิชากระบี่ยากหาที่เปรียบ ความเกรียงไกรของบู๊ตึ๊งนั้น ครั้งหนึ่งสมัยปลายราชวงศ์ชิงเคยมีนักดาบชาวญี่ปุ่นมาขอประลองฝีมือด้วย   รายละเอียดของสำนักบู๊ตึ๊งนี้ ผมขอยกไปสนทนากับผู้อ่านในภายภาคหน้าที่มีโอกาส

ตัวอย่างการรำกระบี่






1 ความคิดเห็น: